สื่อสิ่งพิมพ์

หน้าแรก / สื่อสิ่งพิมพ์

ทุกข์คนเมือง: เมื่อเวียดนามต้องรับมือกับฝุ่น PM2.5

โดย ปภังกร เสลาคุณ ผู้ช่วยนักวิจัย ประจำศูนย์แม่โขงศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ทุกข์คนเมือง: เมื่อเวียดนามต้องรับมือกับฝุ่น PM2.5


ในช่วงเดือนที่ผ่านมา คงไม่มีข่าวใดได้รับความสนใจจากคนกรุงเทพฯ ได้มากเท่ากับปัญหามลพิษทางอากาศจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ จนทำให้ท้องฟ้าแทบทุกเขตในกรุงเทพฯ เปลี่ยนเป็นสีเทาและส่งผลให้ประชาชนต้องดำเนินชีวิตอย่างยากลำบาก อย่างไรก็ตาม กรุงเทพฯ ไม่ได้เป็นเมืองเพียงแห่งเดียวที่ประสบปัญหามลพิษทางอากาศ บรรดาเมืองใหญ่ในภูมิภาคอาเซียนต่างก็ประสบปัญหาดังกล่าวเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะกรณีของเมืองใหญ่ 2 อันดับแรกของเวียดนามอย่างโฮจิมินห์ซิตี้และฮานอย ที่มีสถานการณ์ไม่แตกต่างจากกรุงเทพฯ มากนัก

ปัญหาฝุ่นละอองในอากาศ: ความโชคร้ายของคนเมืองใหญ่

การขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรที่สูงกว่าพื้นที่อื่น ๆ ของเวียดนาม ทำให้ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศต่างหลั่งไหลเข้าไปแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าในโฮจิมินห์ซิตี้และฮานอย โดยมีการประเมินว่า ในปี 2017 เมืองใหญ่ทั้งสองแห่งมีประชากรอาศัยอยู่รวมกันกว่า 15 ล้านคน อย่างไรก็ตาม ชีวิตในเมืองศูนย์กลางความเจริญใช่ว่าจะมีแต่ความสวยงามเสมอไป ในทางกลับกัน ชาวเมืองใหญ่ต้องเผชิญกับความโหดร้ายจากค่าครองชีพสูง การอยู่ห่างไกลครอบครัว และความกดดันจากการทำงานและการใช้ชีวิต เพียงเพื่อแลกกับวิถีชีวิตที่ดูเหมือนว่าจะสะดวกสบายกว่า นอกจากนี้ พวกเขายังต้องเผชิญกับปัญหาที่ยากต่อการรับมืออย่างปัญหามลพิษจากแหล่งต่าง ๆ โดยเฉพาะปัญหามลพิษทางอากาศที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

ตารางแสดงคุณภาพอากาศในโฮจิมินห์ซิตี้และฮานอย เมื่อปี 2017


ที่มา: http://en.greenidvietnam.org.vn/view-document/5af836ca5cd7e87c49ee7e52
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โฮจิมินห์ซิตี้และฮานอยต้องเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศครั้งใหญ่ จากการที่มีฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ปกคลุมทั่วน่านฟ้าของเมือง ข้อมูลจาก Green Innovation and Development Centre (GreenID) ซึ่งเป็นองค์การไม่แสวงหากำไรในเวียดนามระบุว่า เวียดนามต้องเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในปี 2017 เมื่อการวัดค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (Air Quality Index-AQI) ชี้ให้เห็นถึงค่าความเข้มข้นของมลพิษทางอากาศสูงสุดของทั้งสองเมืองคือ 108 และ 147 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ เช่นเดียวกับค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 สูงที่สุดที่วัดได้ในโฮจิมินห์ซิตี้อยู่ที่ 39.4 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรและฮานอยอยู่ที่ 74.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เกินกว่าค่ามาตรฐานซึ่งองค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ที่ 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรเป็นเท่าตัว[1]

สาเหตุของมลพิษทางอากาศในมุมมองของคนเวียดนาม

ทั้งนี้ GreenID ยังได้สำรวจความคิดเห็นของผู้ที่อาศัยอยู่ในเวียดนามว่า ในมุมมองของพวกเขา สาเหตุหลักที่ทำให้มลพิษทางอากาศอยู่ในระดับสูงคืออะไร โดยผู้ตอบแบบสอบถามเกือบหนึ่งพันคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเวียดนามลงความเห็นว่า ยานพาหนะบนท้องถนนเป็นตัวการที่สำคัญที่สุด รองลงมาคือ โรงงานอุตสาหกรรม และโรงผลิตไฟฟ้า ตามลำดับ[2]

สำหรับสาเหตุที่ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ตอบว่า ยานพาหนะเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศอันดับหนึ่งนั้นเป็นผลมาจากการที่มีรถยนต์และและยานพาหนะยอดนิยมอย่างรถจักรยานยนต์สัญจรไปมาอยู่หลายล้านคันบนท้องถนนในโฮจิมินห์ซิตี้และฮานอย โดยยานพาหนะเหล่านี้ต่างก็มีส่วนสำคัญในการปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ออกมาทางท่อไอเสียซึ่งคิดเป็นร้อยละ 85 ของก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ทั้งหมดที่ออกสู่บรรยากาศ[3] ทั้งนี้ แม้ว่าประชาชนจะอยากหันไปพึ่งพาระบบขนส่งมวลชนช่องทางอื่น ๆ เช่น รถไฟฟ้าและรถโดยสารสาธารณะ แต่ระบบขนส่งมวลชนเหล่านี้ยังไม่สามารถเป็นตัวเลือกที่ดีเท่าไรนัก เนื่องจากรถไฟฟ้าในเมืองทั้งสองแห่งยังคงอยู่ในระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง ส่วนรถโดยสารสาธารณะส่วนใหญ่นั้นก็มีจำนวนไม่เพียงพอต่อความต้องการ อีกทั้งยังเป็นรถรุ่นเก่าที่ปล่อยควันเสียออกสู่บรรยากาศไม่ต่างกับยานพาหนะประเภทอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้ ชาวเมืองจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากการซื้อรถส่วนตัวไว้ใช้งาน และเมื่อจำนวนยานพาหนะเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ปัญหามลพิษทางอากาศจึงรุนแรงขึ้นตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นอกจากนี้ สาเหตุของมลพิษทางอากาศที่มีผู้เลือกตอบเป็นอันดับสองและสามอย่างโรงงานอุตสาหกรรม และโรงผลิตไฟฟ้าต่างก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน โดยการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประชากรและการลงทุนจากต่างประเทศทำให้โรงงานอุตสาหกรรมและโรงผลิตไฟฟ้าจำนวนมากถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของเมืองที่มีมากขึ้น ในส่วนของโรงงานอุตสาหกรรมนั้น โฮจิมินห์ซิตี้ ฮานอย และจังหวัดใกล้เคียงต่างก็เป็นที่ตั้งของอุตสาหกรรมทั้งเบาและหนักซึ่งปล่อยควันพิษออกสู่อากาศในปริมาณมาก

ในขณะเดียวกัน โรงผลิตไฟฟ้าหลายแห่งของเวียดนามได้มีการใช้ถ่านหินเป็นแหล่งพลังงานหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้า แม้ว่าโฮจิมินห์ซิตี้และฮานอยจะไม่ได้เป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าถ่านหิน แต่พื้นที่โดยรอบของทั้งสองเมืองกลับเป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าถ่านหินหลายแห่ง โดยเฉพาะฮานอยที่มีโรงไฟฟ้าถ่านหินตั้งอยู่โดยรอบกว่า 20 แห่ง

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ฝุ่นละอองและควันพิษจากทั้งโรงงานอุตสาหกรรมและโรงผลิตไฟฟ้าเหล่านี้จะฟุ้งกระจายในอากาศและถูกลมพัดพามายังโฮจิมินห์ซิตี้และฮานอยจนก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศในที่สุด

เมื่อเมืองใหญ่ทำให้เราสูญเสียสุขภาพที่ดี

แม้สภาพท้องฟ้าเหนือโฮจิมินห์ซิตี้และฮานอยจะถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นละอองที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ แต่ชาวเมืองส่วนใหญ่ยังคงใช้ชีวิตประจำวันของตนอย่างปกติ ชาวเมืองบางคนกล่าวว่า เขาไม่รู้ว่าหมอกที่เกิดขึ้นนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือเกิดจากอากาศเป็นพิษ[4] ในขณะที่ชาวเมืองอีกคนหนึ่งกล่าวว่า เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าค่าดัชนีคุณภาพอากาศคืออะไร แต่เขาก็เลือกที่จะป้องกันสุขภาพของตนเองเอาไว้ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย[5] เช่นเดียวกับชาวเมืองอีกหลายคนที่ใช้หน้ากากอนามัยเป็นเครื่องมือในการป้องกันอันตรายจากฝุ่นละอองที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ เมื่อต้องขับขี่ยานพาหนะบนท้องถนน

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าวิธีการดังกล่าวจะไม่ได้ผลเท่าไรนัก เนื่องจากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกระบุว่า มลพิษทางอากาศมีส่วนทำให้ชาวเวียดนามกว่า 11,000 คนเสียชีวิตในทุก ๆ ปี นอกจากนี้ ประชาชนชาวเวียดนามอีกราว 3.76 ล้านคนยังคงต้องเผชิญกับโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น หอบหืดและไซนัสอักเสบ โดยเฉพาะในโฮจิมินห์ซิตี้และฮานอยที่ถูกรายงานว่า มีประชาชนเจ็บป่วยด้วยโรคเหล่านี้มากกว่าประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศ[6]

การจัดการกับปัญหามลพิษทางอากาศของเวียดนาม

ผลกระทบที่เกิดจากมลพิษทางอากาศทำให้ภาคส่วนต่าง ๆ ของเวียดนามจำเป็นต้องหันมาให้ความสนใจ และแสวงหามาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ในปี 2016 รัฐบาลเวียดนามได้ออกแผนปฏิบัติการแห่งชาติเพื่อการจัดการคุณภาพอากาศ (the National Action Plan on Air Quality Management) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมการปล่อยมลพิษและปรับปรุงคุณภาพอากาศ ทั้งนี้ แผนดังกล่าวระบุวิธีการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ อาทิ การติดตั้งสถานีตรวจสอบอากาศ การจำกัดการใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย และการส่งเสริมการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น[7]

ต่อมาในปี 2017 สมาชิกสภากรุงฮานอยได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ยกเลิกการใช้รถจักรยานยนต์ในย่านใจกลางเมืองภายในปี 2030 เนื่องจากรถจักรยานยนต์ถูกมองว่าเป็นต้นตอของมลพิษทางอากาศจากการปล่อยควันพิษทางท่อไอเสีย พร้อมกันนั้น สมาชิกสภายังให้คำมั่นว่าจะเพิ่มจำนวนรถโดยสารสาธารณะ เพื่อให้ชาวเมืองลดการใช้รถส่วนตัวและหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากยิ่งขึ้น[8]

ในส่วนของภาคประชาสังคมเองก็ได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวและออกมารณรงค์เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้น เช่น กรณีของกลุ่มวัยรุ่นในกรุงฮานอยที่ได้ออกมาถือป้ายรณรงค์ให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ดับเครื่องยนต์ หากจอดรถนานเกิน 30 วินาที[9] หรือในกรณีของ GreenID และ the Live & Learn Environment Education Centre ที่ได้ร่วมกันจัดงาน “the Vietnam Clean Air Day 2018” เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับมลพิษทางอากาศและชี้ให้ประชาชนเห็นถึงสภาพปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น รวมไปถึงการหาทางออกของปัญหาร่วมกัน เป็นต้น[10]

สรุป

ปัญหามลพิษทางอากาศกลายเป็นเรื่องน่ากังวลใจของประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ทั่วโลกจากการที่ปัญหาดังกล่าวทวีความรุนแรงขึ้นตามการขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้งของเมือง นอกจากนี้ ยังดูเหมือนว่าหลายประเทศที่ประสบปัญหา เช่น เวียดนามและไทย จะยังไม่มีมาตรการที่มีประสิทธิภาพมากเพียงพอที่จะรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นในระยะยาว ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่เราต้องจับตามองกันต่อไปว่า ปัญหามลพิษทางอากาศที่กำลังทำลายสุขภาพของเราจะบรรเทาเบาบางหรือยุติไปได้อย่างไร หรือในบางทีเราอาจจะต้องยอมรับชะตากรรมที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของเราในอนาคต หากไม่มีใครสามารถหาทางออกสำหรับปัญหานี้ได้

—————————————-

ปภังกร เสลาคุณ ผู้ช่วยนักวิจัย ประจำศูนย์แม่โขงศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
http://www.thaiworld.org/thn/thailand_monitor/answera.php?question_id=1624


บทความล่าสุด

ชุมนุมฮ่องกงกับภาษาปริศนา
ชุมนุมฮ่องกงกับภาษาปริศนา

โดย ผศ. ดร.จิรยุทธ์ สินธุพันธ์ุ สถานการณ์การชุมนุมประท้วงของประชาชนคนฮ่องกงนั้นเป็นเรื่องที่น่าจับตามองมากที่สุดเรื่องหนึ่ง เนื่องด้วยการชุมนุมอันยืดเยื้อและข่าวลือต่างๆ ที่มีมาอย่างไม่ขาดสาย ทำให้การชุมนุมนี้สร้างผลกระทบในวงกว้าง สถานการณ์การชุมนุมนี้มีสาเหตุมาจากการต่อต้านร่างกฏหมายส่งตัวผ

ผศ. ดร.จิรยุทธ์ สินธุพันธ์ุ
2563
กระแสเอเชีย
ใต้เงากะอ์บะฮ์: ศาสนา ชาติ และอัตลักษณ์อินโดนีเซีย
ใต้เงากะอ์บะฮ์: ศาสนา ชาติ และอัตลักษณ์อินโดนีเซีย

โดย ผศ. ดร.จิรยุทธ์ สินธุพันธ์ุ Di Bawah Lindungan Ka’bah หรือ ภายใต้การปกป้องของกะอ์บะฮ์ เป็นนวนิยายของ ศาสตราจารย์ ดร. ฮัจยี อับดุล มาลิก บิน ดร. ซายิก ฮัจยี อับดุล คารีม อัมรุลลา หรือ ฮามก้า (Hamka) นักคิดนักเขียนชาวอินโดนีเซียเชื้อสายมินังกะเบา จากเกาะสุมาตรา ที่ชาวอินโดนีเซียเคารพรั

ผศ. ดร.จิรยุทธ์ สินธุพันธ์ุ
2563
กระแสเอเชีย
ไทย-ซาอุดิอาระเบีย: จากสัมพันธ์แตกร้าวสู่ก้าวย่างแห่ง “มิตรภาพใหม่”
ไทย-ซาอุดิอาระเบีย: จากสัมพันธ์แตกร้าวสู่ก้าวย่างแห่ง “มิตรภาพใหม่”

โดย ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบียกลับมาเป็นกระแสอีกครั้งหลังจากที่รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย นายดอน ปรมัตถ์วินัย ให้สัมภาษณ์ระหว่างเดินทางไปร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ณ ประเทศเวียดนาม ระหว่างวันที่ 11-13 มกราคม 2020 ว่าตนเองได้เดินทางเยือนประเทศบาห์เร

ดร.ศราวุฒิ อารีย์
2563
กระแสเอเชีย
Nyida Parik: การเต้นต้อนรับขบวนเจ้าสาวของชาวกาโล
Nyida Parik: การเต้นต้อนรับขบวนเจ้าสาวของชาวกาโล

โดย ดร.ลักษณ์นัยน์ ทรงเสี่ยงไชย ชายชาวกาโลกำลังฝึกซ้อมการแสดง Nyida Parik ที่ลานหญ้าของหมู่บ้าน ภาพถ่ายโดย ลักษณ์นัยน์ ทรงเสี่ยงไชย เข็มนาฬิกาแสดงเวลาตีห้าเศษ แต่แสงอาทิตย์ได้ส่องเหนือหุบเขาบาซาร์ (Basar) จนสว่างไสวแล้ว เช้าวันนี้ผู้เขียนได้รับการชักชวนให้มาชมการซ้อมเต้น Nyida Parik

ดร.ลักษณ์นัยน์ ทรงเสี่ยงไชย
2563
กระแสเอเชีย
วิเคราะห์เศรษฐกิจ-สังคมจีน “ เทคโนโลยีในยุค 5.0 กับวิถีชีวิตของคนจีนในปัจจุบัน ”
วิเคราะห์เศรษฐกิจ-สังคมจีน “ เทคโนโลยีในยุค 5.0 กับวิถีชีวิตของคนจีนในปัจจุบัน ”

แปลและเรียบเรียงโดย กรองจันทน์  จันทรพาหา (ที่มาภาพ : https://ss0.bdstatic.com/70cFuHSh_Q1YnxGkpoWK1HF6hhy/it/u=2739498971,358910417&fm=26&gp=0.jpg ) ในช่วงที่ผ่านมา ประเทศจีนมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งในปัจจุบันได้กลายเป็นประเทศทางเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ

ดร.กรองจันทน์ จันทรพาหา
2563
กระแสเอเชีย