Article from Mekong Studies Center

Background of Mekong Studies Center

Mekong Studies Center was established under the Institute of Asian Studies (IAS) of Chulalongkorn University with a grant from the Ratchadapisak Sompoch fund in 2002 in order to conduct a research on the countries of the Mekong sub-region and to disseminate the acquired knowledge to the general public. In the early period, Mekong Studies Center was a research unit of IAS and was established as a Center of Excellence in December in 2009.

Mekong Studies Center aims to be a leading research center in Greater Mekong Sub-Region to conduct researches and studies and disseminate knowledge about countries in the Greater Mekong Sub-Region (GMS), namely Myanmar, Thailand, Lao PDR, Cambodia, Vietnam and Southern China.

Mekong Studies Center focuses on using the Area Studies methodology. Researchers conduct field work and have awareness, insight information and in-depth understanding on different issues in Greater Mekong Sub-region. Mekong Studies Center attempts to explain changes from the internal point of view of each country in order to thoroughly and accurately understand the changes.

In addition, changes are also viewed in the sub-regional aspect. All the countries in the Greater Mekong Sub-Region are geographically, socially and culturally close and they share common and similar experience in their development. Their connectivity, including physical, institutional and people-to-people connectivity, has also increased significantly in these days. All of the above factors are contributing to the increase in the sub-regional integration and creation of mutual benefits.

Mekong Studies Center is committed to provide academic services and knowledge transfer. Researchers have been invited to deliver lectures, organised seminars in order to raise awareness and increase stakeholders’ understanding on issues related to Greater Mekong Sub-region. The Center also applies knowledge through organising research forums, giving consultation to the public and private sectors as well as the general public, and participating in the establishment of key national policies in order to utilise the acquired knowledge and engage with diversified stakeholders. 

SCOPE OF WORK

Mekong Studies Center is part of the Institute of Asian Studies, Chulalongkorn University. Its aim is to conduct researches and disseminate knowledge about countries in the Greater Mekong Sub-region (GMS), namely Cambodia, Laos, Myanmar, Vietnam and Southern China. The center focuses on using the area studies method, which tries to explain changes from the internal point of view of each country in order to thoroughly and accurately understand the changes.

In addition, changes are also viewed in the sub-regional aspect. All the countries in the GMS are also viewed in the sub-regional aspect. All the countries in the GMS are geographically, socially and culturally close and they share common and similar experience in their development. Their connectivity, including physical connectivity, institutional connectivity and people-to -people connectivity, has also increased significantly in these days. All of the above factors are contributing to increase sub-regional integration and more creation of mutual benefits.

The center has pushed to apply knowledge gained from these studies in every part of society through its academic services, such as organizing academic seminars, giving consultation to the public and private sector as well as the general public, and participating in the establishment of key national policies in order to gain actual benefits from such knowledge. 

OBJECTTIVES

1) To conduct academic studies on topics related to the Greater Mekong Sub-region, which is evolving into part of the ASEAN Community.

2) To provide a source of reference, give consultation and build understanding for the public and private sectors as well as the general public on topics related to the Greater Mekong Subregion.

3) To develop a network of academic cooperation on the national and international levels

SERVICES

1) Being a consultant for private and government sector.

2) Giving training and delivering lectures about GMS countries.

3) Conference, seminar

ทุกข์คนเมือง: เมื่อเวียดนามต้องรับมือกับฝุ่น PM2.5

โดย ปภังกร เสลาคุณ ผู้ช่วยนักวิจัย ประจำศูนย์แม่โขงศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ทุกข์คนเมือง: เมื่อเวียดนามต้องรับมือกับฝุ่น PM2.5


ในช่วงเดือนที่ผ่านมา คงไม่มีข่าวใดได้รับความสนใจจากคนกรุงเทพฯ ได้มากเท่ากับปัญหามลพิษทางอากาศจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ จนทำให้ท้องฟ้าแทบทุกเขตในกรุงเทพฯ เปลี่ยนเป็นสีเทาและส่งผลให้ประชาชนต้องดำเนินชีวิตอย่างยากลำบาก อย่างไรก็ตาม กรุงเทพฯ ไม่ได้เป็นเมืองเพียงแห่งเดียวที่ประสบปัญหามลพิษทางอากาศ บรรดาเมืองใหญ่ในภูมิภาคอาเซียนต่างก็ประสบปัญหาดังกล่าวเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะกรณีของเมืองใหญ่ 2 อันดับแรกของเวียดนามอย่างโฮจิมินห์ซิตี้และฮานอย ที่มีสถานการณ์ไม่แตกต่างจากกรุงเทพฯ มากนัก

ปัญหาฝุ่นละอองในอากาศ: ความโชคร้ายของคนเมืองใหญ่

การขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรที่สูงกว่าพื้นที่อื่น ๆ ของเวียดนาม ทำให้ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศต่างหลั่งไหลเข้าไปแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าในโฮจิมินห์ซิตี้และฮานอย โดยมีการประเมินว่า ในปี 2017 เมืองใหญ่ทั้งสองแห่งมีประชากรอาศัยอยู่รวมกันกว่า 15 ล้านคน อย่างไรก็ตาม ชีวิตในเมืองศูนย์กลางความเจริญใช่ว่าจะมีแต่ความสวยงามเสมอไป ในทางกลับกัน ชาวเมืองใหญ่ต้องเผชิญกับความโหดร้ายจากค่าครองชีพสูง การอยู่ห่างไกลครอบครัว และความกดดันจากการทำงานและการใช้ชีวิต เพียงเพื่อแลกกับวิถีชีวิตที่ดูเหมือนว่าจะสะดวกสบายกว่า นอกจากนี้ พวกเขายังต้องเผชิญกับปัญหาที่ยากต่อการรับมืออย่างปัญหามลพิษจากแหล่งต่าง ๆ โดยเฉพาะปัญหามลพิษทางอากาศที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

ตารางแสดงคุณภาพอากาศในโฮจิมินห์ซิตี้และฮานอย เมื่อปี 2017


ที่มา: http://en.greenidvietnam.org.vn/view-document/5af836ca5cd7e87c49ee7e52
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โฮจิมินห์ซิตี้และฮานอยต้องเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศครั้งใหญ่ จากการที่มีฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ปกคลุมทั่วน่านฟ้าของเมือง ข้อมูลจาก Green Innovation and Development Centre (GreenID) ซึ่งเป็นองค์การไม่แสวงหากำไรในเวียดนามระบุว่า เวียดนามต้องเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในปี 2017 เมื่อการวัดค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (Air Quality Index-AQI) ชี้ให้เห็นถึงค่าความเข้มข้นของมลพิษทางอากาศสูงสุดของทั้งสองเมืองคือ 108 และ 147 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ เช่นเดียวกับค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 สูงที่สุดที่วัดได้ในโฮจิมินห์ซิตี้อยู่ที่ 39.4 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรและฮานอยอยู่ที่ 74.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เกินกว่าค่ามาตรฐานซึ่งองค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ที่ 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรเป็นเท่าตัว[1]

สาเหตุของมลพิษทางอากาศในมุมมองของคนเวียดนาม

ทั้งนี้ GreenID ยังได้สำรวจความคิดเห็นของผู้ที่อาศัยอยู่ในเวียดนามว่า ในมุมมองของพวกเขา สาเหตุหลักที่ทำให้มลพิษทางอากาศอยู่ในระดับสูงคืออะไร โดยผู้ตอบแบบสอบถามเกือบหนึ่งพันคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเวียดนามลงความเห็นว่า ยานพาหนะบนท้องถนนเป็นตัวการที่สำคัญที่สุด รองลงมาคือ โรงงานอุตสาหกรรม และโรงผลิตไฟฟ้า ตามลำดับ[2]

สำหรับสาเหตุที่ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ตอบว่า ยานพาหนะเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศอันดับหนึ่งนั้นเป็นผลมาจากการที่มีรถยนต์และและยานพาหนะยอดนิยมอย่างรถจักรยานยนต์สัญจรไปมาอยู่หลายล้านคันบนท้องถนนในโฮจิมินห์ซิตี้และฮานอย โดยยานพาหนะเหล่านี้ต่างก็มีส่วนสำคัญในการปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ออกมาทางท่อไอเสียซึ่งคิดเป็นร้อยละ 85 ของก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ทั้งหมดที่ออกสู่บรรยากาศ[3] ทั้งนี้ แม้ว่าประชาชนจะอยากหันไปพึ่งพาระบบขนส่งมวลชนช่องทางอื่น ๆ เช่น รถไฟฟ้าและรถโดยสารสาธารณะ แต่ระบบขนส่งมวลชนเหล่านี้ยังไม่สามารถเป็นตัวเลือกที่ดีเท่าไรนัก เนื่องจากรถไฟฟ้าในเมืองทั้งสองแห่งยังคงอยู่ในระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง ส่วนรถโดยสารสาธารณะส่วนใหญ่นั้นก็มีจำนวนไม่เพียงพอต่อความต้องการ อีกทั้งยังเป็นรถรุ่นเก่าที่ปล่อยควันเสียออกสู่บรรยากาศไม่ต่างกับยานพาหนะประเภทอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้ ชาวเมืองจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากการซื้อรถส่วนตัวไว้ใช้งาน และเมื่อจำนวนยานพาหนะเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ปัญหามลพิษทางอากาศจึงรุนแรงขึ้นตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นอกจากนี้ สาเหตุของมลพิษทางอากาศที่มีผู้เลือกตอบเป็นอันดับสองและสามอย่างโรงงานอุตสาหกรรม และโรงผลิตไฟฟ้าต่างก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน โดยการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประชากรและการลงทุนจากต่างประเทศทำให้โรงงานอุตสาหกรรมและโรงผลิตไฟฟ้าจำนวนมากถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของเมืองที่มีมากขึ้น ในส่วนของโรงงานอุตสาหกรรมนั้น โฮจิมินห์ซิตี้ ฮานอย และจังหวัดใกล้เคียงต่างก็เป็นที่ตั้งของอุตสาหกรรมทั้งเบาและหนักซึ่งปล่อยควันพิษออกสู่อากาศในปริมาณมาก

ในขณะเดียวกัน โรงผลิตไฟฟ้าหลายแห่งของเวียดนามได้มีการใช้ถ่านหินเป็นแหล่งพลังงานหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้า แม้ว่าโฮจิมินห์ซิตี้และฮานอยจะไม่ได้เป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าถ่านหิน แต่พื้นที่โดยรอบของทั้งสองเมืองกลับเป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าถ่านหินหลายแห่ง โดยเฉพาะฮานอยที่มีโรงไฟฟ้าถ่านหินตั้งอยู่โดยรอบกว่า 20 แห่ง

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ฝุ่นละอองและควันพิษจากทั้งโรงงานอุตสาหกรรมและโรงผลิตไฟฟ้าเหล่านี้จะฟุ้งกระจายในอากาศและถูกลมพัดพามายังโฮจิมินห์ซิตี้และฮานอยจนก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศในที่สุด

เมื่อเมืองใหญ่ทำให้เราสูญเสียสุขภาพที่ดี

แม้สภาพท้องฟ้าเหนือโฮจิมินห์ซิตี้และฮานอยจะถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นละอองที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ แต่ชาวเมืองส่วนใหญ่ยังคงใช้ชีวิตประจำวันของตนอย่างปกติ ชาวเมืองบางคนกล่าวว่า เขาไม่รู้ว่าหมอกที่เกิดขึ้นนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือเกิดจากอากาศเป็นพิษ[4] ในขณะที่ชาวเมืองอีกคนหนึ่งกล่าวว่า เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าค่าดัชนีคุณภาพอากาศคืออะไร แต่เขาก็เลือกที่จะป้องกันสุขภาพของตนเองเอาไว้ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย[5] เช่นเดียวกับชาวเมืองอีกหลายคนที่ใช้หน้ากากอนามัยเป็นเครื่องมือในการป้องกันอันตรายจากฝุ่นละอองที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ เมื่อต้องขับขี่ยานพาหนะบนท้องถนน

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าวิธีการดังกล่าวจะไม่ได้ผลเท่าไรนัก เนื่องจากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกระบุว่า มลพิษทางอากาศมีส่วนทำให้ชาวเวียดนามกว่า 11,000 คนเสียชีวิตในทุก ๆ ปี นอกจากนี้ ประชาชนชาวเวียดนามอีกราว 3.76 ล้านคนยังคงต้องเผชิญกับโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น หอบหืดและไซนัสอักเสบ โดยเฉพาะในโฮจิมินห์ซิตี้และฮานอยที่ถูกรายงานว่า มีประชาชนเจ็บป่วยด้วยโรคเหล่านี้มากกว่าประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศ[6]

การจัดการกับปัญหามลพิษทางอากาศของเวียดนาม

ผลกระทบที่เกิดจากมลพิษทางอากาศทำให้ภาคส่วนต่าง ๆ ของเวียดนามจำเป็นต้องหันมาให้ความสนใจ และแสวงหามาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ในปี 2016 รัฐบาลเวียดนามได้ออกแผนปฏิบัติการแห่งชาติเพื่อการจัดการคุณภาพอากาศ (the National Action Plan on Air Quality Management) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมการปล่อยมลพิษและปรับปรุงคุณภาพอากาศ ทั้งนี้ แผนดังกล่าวระบุวิธีการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ อาทิ การติดตั้งสถานีตรวจสอบอากาศ การจำกัดการใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย และการส่งเสริมการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น[7]

ต่อมาในปี 2017 สมาชิกสภากรุงฮานอยได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ยกเลิกการใช้รถจักรยานยนต์ในย่านใจกลางเมืองภายในปี 2030 เนื่องจากรถจักรยานยนต์ถูกมองว่าเป็นต้นตอของมลพิษทางอากาศจากการปล่อยควันพิษทางท่อไอเสีย พร้อมกันนั้น สมาชิกสภายังให้คำมั่นว่าจะเพิ่มจำนวนรถโดยสารสาธารณะ เพื่อให้ชาวเมืองลดการใช้รถส่วนตัวและหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากยิ่งขึ้น[8]

ในส่วนของภาคประชาสังคมเองก็ได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวและออกมารณรงค์เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้น เช่น กรณีของกลุ่มวัยรุ่นในกรุงฮานอยที่ได้ออกมาถือป้ายรณรงค์ให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ดับเครื่องยนต์ หากจอดรถนานเกิน 30 วินาที[9] หรือในกรณีของ GreenID และ the Live & Learn Environment Education Centre ที่ได้ร่วมกันจัดงาน “the Vietnam Clean Air Day 2018” เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับมลพิษทางอากาศและชี้ให้ประชาชนเห็นถึงสภาพปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น รวมไปถึงการหาทางออกของปัญหาร่วมกัน เป็นต้น[10]

สรุป

ปัญหามลพิษทางอากาศกลายเป็นเรื่องน่ากังวลใจของประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ทั่วโลกจากการที่ปัญหาดังกล่าวทวีความรุนแรงขึ้นตามการขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้งของเมือง นอกจากนี้ ยังดูเหมือนว่าหลายประเทศที่ประสบปัญหา เช่น เวียดนามและไทย จะยังไม่มีมาตรการที่มีประสิทธิภาพมากเพียงพอที่จะรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นในระยะยาว ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่เราต้องจับตามองกันต่อไปว่า ปัญหามลพิษทางอากาศที่กำลังทำลายสุขภาพของเราจะบรรเทาเบาบางหรือยุติไปได้อย่างไร หรือในบางทีเราอาจจะต้องยอมรับชะตากรรมที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของเราในอนาคต หากไม่มีใครสามารถหาทางออกสำหรับปัญหานี้ได้

—————————————-

ปภังกร เสลาคุณ ผู้ช่วยนักวิจัย ประจำศูนย์แม่โขงศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
http://www.thaiworld.org/thn/thailand_monitor/answera.php?question_id=1624


Latest articles

การเลือกตั้งในกัมพูชาปี 2018
การเลือกตั้งในกัมพูชาปี 2018

โดย วินิสสา อุชชิน การเลือกตั้งในกัมพูชาปี 2018 วินิสสา อุชชินนักวิจัยศูนย์แม่โขงศึกษา สถาบันเอเชียศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่แล้วเมื่อปี 2013 พรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodia People’s Party: CPP) ซึ่งสมเด็จฮุน เซน เป็นประธานพรรค ชนะการเลือกตั้งโดยได้ที่นั่งในรัฐสภา

วินิสสา อุชชิน
2018

Institution location (Mekong Studies Center)

Institute of Asian Studies Chulalongkorn University

3th Floor, Prajadhipok-Rambhai Barni Building, Phyathai Road, Bangkok 10330, THAILAND

02-218-7468

02-218-7459